Tag: idea

4 สิ่งที่ทำแล้วช่วยทำให้คุณ Design สิ่งต่างๆได้ไวขึ้น

4 สิ่งที่ทำแล้วช่วยทำให้คุณ Design สิ่งต่างๆได้ไวขึ้น

4 สิ่งที่ทำแล้วช่วยทำให้คุณ Design สิ่งต่างๆได้ไวขึ้น   จริงแล้วคนที่ทำงานสายออกแบบหรือ Creative มักมีความจำเป็นที่จะต้องคิดหาไอเดีย หามุมมองใหม่ๆ หามุมมองดีๆ หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆอยู่บ่อยๆ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่บางทีก็มักจะเกิดปัญหาในเรื่องของไอเดียตัน ซึ่งทำให้งานช้าลง หรือทำให้เรารู้สึกเสียเวลามากขึ้น แต่วันนี้เรามีวิธีแก้ปัญหาเรื่องของการที่ทำให้เราสมองแล่นกว่าเดิม สามารถคิดอะไรได้ดี ได้ฉับไวมากขึ้น เพียงแค่คุณลองทำ 4 อย่างต่อไปนี้   1.วาด Doodle Picture by chuttersnap  Doodle คือการวาดรูปต่างๆตามที่เราเผลอไม่รู้ตัว หรือการวาดรูปออกมาตามในเวลาที่เราว่าง โดยไม่ด้เป็นตัวกำหนดว่าเราต้องวาดอะไร บางคนอาจวาดออกมาเป็นลักษณะของการ์ตูนและตัวละครต่างๆ ในขณะที่บางคนอาจวาดออกมาเป็นในรูปและเรื่องราวของความเป็น shape หรือเส้นต่างๆ เชิง AbstractDoodle จะไปช่วยพัฒนาสมองส่วนด้านความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ และนอกจากนี้การวาดรูป Doodle ในลักษณะต่างๆยังทำให้เราเข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้นว่าใครวาดรูปแบบไหนสามารถสื่อถึงอะไรได้บ้าง เช่น   คนที่ชอบวาดรูปวงกลม จะเป็นคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวมาก มีความสุขกับการได้อยู่คนเดียว […]

ออกแบบ Collection ใหม่ Develop Design ไปทางไหนดี?

ออกแบบ Collection ใหม่ Develop Design ไปทางไหนดี?

  “Design Collection ใหม่ทิศทางไหนดี” จริงๆแล้วการทำธุรกิจในยุคนี้โดยเฉพาะธุรกิจแนวที่เป็นผลิตภัณฑ์ มักจะมีการ Develop Design ใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาของตัวสินค้าทั้งในลักษณะที่เป็น Version ใหม่ๆออกมาจากผลิตภัณฑ์ตัวเดิม หรืออีกกรณีคือการพัฒนาสินค้าออกมาในรูปแบบของการผลิตออกมาเป็น Collection ใหม่ เทคนิคการพัฒนาตัวสินค้าของธุรกิจต่างๆ มักจะมีอยู่หลายประเภท ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายลักษณะตามความต้องการ ตามเป้าหมาย ตามวิสัยทัศน์ และตาม concept ขององค์กรนั้นๆ   ในวันนี้สิ่งที่ติวจะเอามาแชร์คือ เทคนิคการพัฒนาตัวสินค้าในรูปของ Design เหมาะสำหรับเป็น Key ที่จะช่วยบอกว่า ถ้าเราต้องการเปลี่ยนรูปแบบของ Product เราโดยเน้นในเรื่องของงาน Design เราจะสามารถพัฒนาไปในรูปแบบไหนได้บ้าง มีไอเดียยังไง และในเวลาที่ Product ได้มีการพัฒนารูปแบบมาก่อนแล้ว และพัฒนามาถึงจุดๆนึงแล้ว เราควร Develop แนวทางสินค้าไปในรูปแบบทิศทางไหนต่อดี   นี่คือรูปแบบแนวทางของการพัฒนารูปแบบสินค้าค่ะ […]

อยากเป็นคนคิดนอกกรอบปะล่ะ? ลองวิธีนี้สิ

อยากเป็นคนคิดนอกกรอบปะล่ะ? ลองวิธีนี้สิ

ถ้าการคิดนอกกรอบมันทำให้เราสนุกและรู้สึกดี เป็นประโยชน์ในหลายแขนงและทำให้เกิดสิ่งดีๆได้เยอะแยะ
งั้นเรามาลองเป็นคนคิดนอกกรอบกันเถอะ

หลายๆคนคงเคยเจอคนที่มีแนวคิดแปลกและไอเดียดีๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทำงานทางด้านสายครีเอทีฟเท่านั้นแต่เรายังหาคนเหล่านี้ได้ทั่วไป เช่น คนที่แก้ปัญหาบางอย่างได้อย่างน่าทึ่ง คนที่แก้ระบบไฟฟ้าด้วยเทคนิคอื่นที่คิดพลิกแพลงเอง คนที่โยนมุขในแบบที่เราหยุดหัวเราะไม่ได้ คนที่ดูแลคนอื่นด้วยวิธีที่ใครๆคิดไม่ถึง และรวมถึงคนทำงานสายออกแบบและสร้างสรรค์ในแขนงต่างๆ

 

หลายๆคนคงรู้สึกแปลกใจ อาจรวมถึงประทับใจในสิ่งเหล่านี้จนเรารู้สึกว่า เค้ามีระบบความคิดยังไงนะ ทำไมถึงคิดอะไรได้แบบนั้น เราประทับใจและอยากทำได้แบบนั้นบ้าง อยากเป็นคนแบบนั้นบ้าง

ติวจะขออนุญาตแบ่งแนววิธีการคิดนอกกรอบออกเป็น 2 อย่างค่ะ
อย่างแรก คือ ผลงานที่เห็นเป็นชิ้นงาน หรือที่เราเห็นได้ในงานดีไซน์ต่างๆ ถ่ายทอดวิธีการคิดเป็นชิ้นงานออกมาแบบจับต้องได้ และสื่อวิธีการหรือผลงานให้เห็นแบบชัดเจน เช่น Designer ต่างๆ , นักซ่อมปีกผีเสื้อ , นักแต่งเพลง

อย่างที่สอง คือ การสร้างสรรค์ผ่านระบบความคิด ซึ่งผลงานที่ออกมา เรารับรู้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องจับต้องได้เป็นชิ้นงาน แต่เราสัมผัสได้จากความรู้สึก เช่น คนที่สร้างสรรค์ความสนุกและอารมณ์ดีให้คนอื่นแบบพี่โน้ต อุดมแต้พานิช , นักร้อง , นักดนตรีที่โซโลที่ improvise สด

 

ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่คิดในมุมมองที่แปลกไป หลายอย่าง ซึ่งฉีกแนวออกจากเรื่องเดิมๆ
ทำให้เรารู้สึกประทับใจโดยการที่เรารับรู้ได้จากการ มองเห็น ได้ยิน ได้เจอ ได้เข้าใจ และได้รู้สึก และนอกจากนี้ไอเดียใหม่ๆยังช่วยสร้างสิ่งต่างๆที่ไม่คาดคิดได้เสมอ การช่วยเหลือเยียวยาทางด้านการรักษาและระบบการแพทย์  การประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพัฒนาแบบ Elon Musk   การค้นพบทางลัดเพื่อช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตแต่ละด้าน รวมถึงการลดระยะเวลา ทรัพยากรณ์ และพลังงานต่างๆได้อีก

 

ถ้าไอเดียดีๆทำให้เกิดเรื่องดีๆได้เยอะแยะและยังทำให้เกิดสิ่งใหม่ได้อีก งั้นเรามาลองคิดนอกกรอบกันบ้างดีไหม
เราสามารถพัฒนาตัวเองให้ฝึกคิดสิ่งใหม่ได้เรื่อยๆได้อย่างง่ายๆ ด้วยวิธีที่เรียกว่า ‘The 30 circles challenge’

‘The 30 circles challenge’ ถูกยกขึ้นมาพูดโดย Tim Brown บนเวที Ted talk ปี  2008
ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เราฝึกความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยวิธีการก็ง่ายๆคือ
1. ให้เราวาดรูปลงบนกระดาษที่มีวงกลม 30 วง โดยมีข้อแม้ว่ารูปแต่ละรูปต้องต่างกัน
( สามารถ save กระดาษสำหรับวาดได้ที่นี่ค่ะ)
2. ให้เราพยายามทำให้ได้ 30 วง ภายในเวลา 3 นาที ( ซึ่งบางที่ติวเห็นจับเวลา 1 นาที อันนี้แล้วแต่ชอบเลยค่ะ )
3. ให้เน้นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เน้นรูปแบบที่มีคุณภาพ มีความสวยมากกว่าจะเร็วแต่ว่าไม่ค่อยมีรายละเอียดและคล้ายกันไปหมด

 

                          

ตัวอย่างรูปกระดาษ30 circles challenge                                                     ตัวอย่างวิธีการวาดลงกระดาษ

 

ในการวาดรูปลงบนกระดาษนี้นอกจากจะเป็นตัวช่วยรวบรวมไอเดียของเราได้ดีแล้ว ยังเป็นการช่วยรีดศักยภาพของสมอง ที่ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์

 

ถ้าอยากรู้ว่าเราพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นรึยัง มากขึ้นขนาดไหน
ให้ลองสังเกตตัวเองง่ายๆจากการที่เราคิดรูปต่างๆเป็นยังไงบ้าง
– ความเร็วในการทำเสร็จ เร็วขึ้นหรือช้าลง
– รูปแบบ Design ที่ออกมาละเอียดขึ้นหรือว่ามีการตัดทอนมากขึ้น
( ถ้า Design ที่ออกมา % ผลงานที่เยอะสุดคือผลงานคุณ
หลากหลาย ดีเทลไม่เยอะ แต่มี gimmick อันนี้เป็นไปได้ว่าคุณเหมาะกับแนว Modern หรือ Minimal ค่ะ)
– รูปแบบ  Design  แต่ละวงมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
( ถ้างาน Design ของคุณคล้ายกันหลายอัน แสดงว่าคุณเป็น
คนที่มีจุดเด่นในการออกแบบแนว Collection ค่ะ แต่ถ้างานแต่ละชิ้นหลุดออกจากกันเกือบทั้งหมด คุณเหมาะที่จะทำงานเชิงที่เป็นงาน Niche น้อยชิ้น และงานแนว Master piece ค่ะ )
– เส้นหรือตัวสัญลักษณ์หลักที่เราใช้เยอะที่สุดคืออะไร
( ตัวนี้สามารถต่อยอดให้รู้ถึงเอกลักษณ์ส่วนตัวเชิงบุคคลที่ถ่ายทอดในงาน

แล้วคนมักจะจำได้ค่ะ ว่านี่คืองานของคุณ )
– เรามีอารมณ์ขันง่ายขึ้นไหม 
– เราคิดงานออกแบบ หาไอเดียได้เร็วขึ้นรึเปล่า
– เราแก้ปัญหาได้ไวกว่าปกติไหม
( ถ้าสังเกตแล้วคุณเป็นคนที่แก้ปัญหาได้ไวขึ้น แสดงว่าคุณเหมาะกับงานเชิงพลิกแพลง

และเป็นไปได้สูงค่ะถ้าลองต่อยอดลงมือทำงานเชิงนวัตกรรม หรือประดิษฐ์ใหม่ อาจจะไปได้ไกล)


นี่เป็นวิธีการสังเกตตัวเองแบบคร่าวๆค่ะ ถ้าคุณลองฝึกบ่อยๆ และหลายอย่างมีแนวโน้มเชิงพัฒนา

ยินดีด้วยค่ะ คุณคิดได้ไวขึ้น และมองมุมใหม่ได้มากขึ้น และเป็นคนที่คิดนอกกรอบมากกว่าเดิมแล้วค่ะ
และเจ้าวิธีการคิดนี่เองค่ะ ที่ทำให้เราต่อยอดทำอะไรหลายอย่างได้อีกมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่คิดนอกกรอบมากขนาดไหน  อย่าลืมเอาความคิดและความรู้สึกไปไว้ในที่ๆเดียวกัน  เพราะงานที่นอกกรอบและยังทำด้วยใจรัก ใครๆก็สัมผัสได้ค่ะ ว่างานชิ้นนั้นนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านต่างๆสำหรับหลายๆอย่างแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนหลายๆคนจะสัมผัสได้ก็คือ งานชิ้นนั้นส่งตรงมาจากคุณและผ่านความรู้สึกออกมาจริงๆ

 

การส่งสาส์นบางทีก็ไม่ใช่การพูดจา แต่อาจหมายถึงการสื่อออกมาทางความตั้งใจในผลงาน
เหมือนนักดนตรีที่ส่งต่อเสียงเพลง เราจับต้องไม่ได้ แต่เรารู้สึก และเราได้ยิน
เรารู้สึกว่ารู้สึกยังไงและเรารู้ ว่ามีอยู่จริง
ถ้าคนที่คิดนอกกรอบเป็น นั่นเรียกได้ว่าเป็นศิลปิน แต่ศิลปินที่ดีต้องใช้วิธีการคิดนอกกรอบในทาง
ที่อำนวยความสุขให้คนอื่นหรือช่วยให้คนอื่นดีขึ้น ดูแลและแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยความสามารถที่ตัวเองมี

 

ติวชอบที่ไอสไตน์ บอกว่า ‘Imagination is more important than knowledge’ 
“แต่สิ่งที่สำคัญกว่า Imagination คือ
การที่ Imagination อันนั้นได้ช่วยเหลือคนหรือสิ่งต่างๆไปในทางที่ดีขึ้นค่ะ”

 

Idea การสร้าง Design ใหม่ๆจากการ ‘กอด’

Idea การสร้าง Design ใหม่ๆจากการ ‘กอด’

Idea การสร้าง Design ใหม่ๆจากการเป็นคนชอบกอด จริงๆแล้วเทคนิคและไอเดียในการสร้างสรรค์ผลงาน ไม่เคยถูก Fix ว่าต้องมีกฏเกณฑ์ใดๆที่ตายตัวในเรื่องของไอเดีย ยกเว้นในเรื่องของการคำนวณต่างๆที่มีความจำเป็นในลักษณะการที่มีงานฟิสิกส์เข้ามาเกี่ยวข้อง เกี่ยวกับแรง พื้นที่วัสดุต่อการรับน้ำหนัก องศาที่จำเป็นต้องใช้ต่างๆ อันนี้มีความจำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ตายตัวเพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและการใช้งาน แต่ในเรื่องของ Concept นั่นถือว่าค่อนข้างอิสระ โดยเฉพาะการคิดแรกเริ่มที่เราเอาแรงบันดาลใจมาจากไหนบ้าง อันนี้คนที่ออกแบบนี่แหละที่อาจต้องดูแลในส่วนนี้ ถ้าทำงานออกแบบมาหลายๆทีเราจะมีความรู้ว่า เอ้ย ไอเดียตันอะ ทำไงต่อดี ? วันนี้เลยเอาเทคนิคสนุกๆมาแชร์ค่ะ เป็น วิธีการออกแบบใหม่ จาก Concept  ‘HUG’ ที่แปลว่ากอดนั่นเอง ทีนี้เรามาดูกันว่าเราจะเอา ‘กอด’ มาเล่นกับงานดีไซน์ของเรายังไงได้บ้าง Concept : Hug กอด ลักษณะโดยพื้นฐานของการกอด : การกอดคือการที่คนๆอ้าแขนออกมากว้างเพื่อที่จะโอบกอด และเปิดกว้างพื้นที่เพื่อให้คนอีกคน หรืออีกหลายคนได้เข้าในพื้นที่ของเรามากขึ้น ด้วยประเด็นความรู้สึกที่ต้องการส่งต่อกันในความรู้สึกเชิงบวก อธิบายโดยสรุปตามลักษณะทางกายภาพ = การยื่นแขนออกมาเพื่อให้มีพื้นที่ว่างและกว้างมากขึ้น […]

เจ๋งได้ง่ายๆ ด้วยระบบ Modular

เจ๋งได้ง่ายๆ ด้วยระบบ Modular

หนึ่งในวิธีการออกแบบงาน Design ทางหนึ่งที่น่าสนใจคือ การออกแบบเชิง Modular Modular คือการใช้วิธีการต่อกันได้เรื่อยๆแบบไม่จำกัด หรือจะจำกัดตามความพอใจของเราก็ได้ แต่เป็นลักษณะที่แยกชิ้นได้ และประกอบกันได้ ซึ่งก็ยังแยกออกไปอีกได้ว่าแยกชิ้นแล้วยังใช้งานได้หรือแยกชิ้นแล้วยังใช้งานไม่ได้ก็ได้ เพื่อให้ช่วยเข้าใจได้ง่ายขึ้นลองไปดูรายละเอียดของการนำระบบ Modular มาใช้งานกันดีกว่าค่ะ จริงๆแล้ว Modular แบ่งย่อยออกมาได้อีกหลายแบบ คือ 1. แบบที่รูปร่างเหมือนกัน : เป็นการต่อ Modular system ในแบบที่ส่วนใหญ่จะเห็นบ่อยในลักษณะของการต่อกันได้แบบ infinity คือมีรูปร่างเหมือนกัน ขนาดอาจจะเหมือนหรือต่างกันก็ได้ แต่สามารถต่อกันได้แบบไม่จำกัด   รูปตัวอย่าง Plug ที่นำ Modular มาใช้งาน Credit รูปจาก Yankodesign   2. แบบที่รูปร่างสัมพันธ์กันแต่ไม่เหมือนกัน : หมายถึงรูปร่างอาจจะคล้ายกันบางส่วน แต่ว่าไม่เหมือนกันทีเดียว Ex : […]

เทคนิคการ Develop สินค้าที่มีให้เป็น Collection ใหม่

เทคนิคการ Develop สินค้าที่มีให้เป็น Collection ใหม่

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีโครงการทำหรือผลิตสินค้าต่างๆ หรืออาจจะกำลังทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ คุณไม่ควรพลาดที่จะอ่านข้อความนี้ เพราะนี่คือวิธีการที่จะช่วยคุณในการออกแบบและผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใน Line ของคุณไม่ว่าจะเป็นแบบ collection หรือจะเป็นโปรดัคแยกเดี่ยวก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เพราะมันจะช่วยให้คุณวางแผนในการออกแบบ Product รายปี รายสองปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นประโยชน์มากแน่ๆในระยะยาว จริงๆแล้วในการออกแบบและผลิตสินค้า เรามักจะมีวงจรของการพัฒนาตามลำดับหรือที่เรียกว่า ‘Product Development’ หรือที่เรียกว่า ‘วิวัฒนาการของสินค้า’

จริงๆแล้ววิวัฒนาการของสินค้าสามารถแบ่งออกคร่าวๆได้ใน 3 แบบคือ 1. วิวัฒนาการทางด้าน Design : คือการพัฒนาสินค้าโดยเน้นในเรื่องของ Design เป็นหลัก คือ รูปร่าง ขนาด วัสดุตามความเหมาะกับตลาด เทรน และช่วงเวลา

ตัวอย่างงาน Develop ทางด้าน Design แบบงาน 2D ของแบรนด์ PEUGEOT

     

ตัวอย่างงาน Design Evolution แบบ 3D ของ COKE

 

2.วิวัฒนาการทางด้าน Function : คือการพัฒนาสินค้าโดยคำนึงถึงเรื่องประโยชน์ใช้สอยทางด้านการใช้งานเป็นหลัก ซึ่งการเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน การลดทอน การadd เพิ่ม หรือการเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานไปเลยก็ได้ โดยเน้นเรื่องของความสะดวกต่างๆเป็นหลัก ซึ่งมีการยึดความต้องการของกลุ่มลูกค้า เทรน และความต้องการของยุคสมัยตามที่ผู้ผลิตต้องการ

ตัวอย่างงาน Design Evolution แบบเน้นฟังก์ชั่นขอโทรศัพท์มือถือ

  3.วิวัฒนาการทางด้าน Innovation : คือการพัฒนาสินค้าโดยมีเรื่องของนวัตกรรมเข้ามาเป็นตัวหลักในการปรับเปลี่ยน ถ้าใครยังนึกเรื่องของวิวัฒนาการไม่ออก ยกตัวอย่างเช่น ผ้า จากผ้าธรรมดาที่มีการพัฒนาเรื่องของวิวัฒนาการในปัจจุบันคือผ้ากันยุงและผ้าที่มีกลิ่นหอม โดยมีการนำเอานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องด้วยการ add แคปซูลขนาดเล็กลงไปในผ้าและใส่กลิ่นที่เป็นประโยชน์ต่างๆ และเมื่อตัวผ้าเกิดการเสียดสีก็จะเกิดกลิ่นตามประโยชน์ใช้สอย เหมือนที่เรารู้จักกันในผ้ากลิ่นมิ้นท์ที่ช่วยให้หลับง่ายขึ้น หรือผ้ากันยุง ทีนี้เรามาดูตัวอย่างงานที่เน้นทางด้านนวัตกรรมต่อได้ข้างล่างนี่เลยค่ะ  

ตัวอย่างงาน Design ที่มีการพัฒนาใหม่ที่เน้นการฉีกกฏจากนาฬิกาเดิมๆแต่ใส่สิ่งใหม่เข้าไปแทน

  รู้เรื่องประเภทของการทำ Design Evolution กันไปแล้ว ทีนี้ ถ้าจะทำ ทำยังไงล่ะ? มีคำถามค่ะ – แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะเริ่มจากตรงไหนไปถึงตรงไหน? – แล้วจะรู้ได้ไงว่าควรพัฒนาตัว Version ใหม่ออกมาเมื่อไหร่? – แล้วจะรู้ได้ไงว่าทำออกมาแล้วจะขายได้ดี? – แล้วจะเริ่มทำเนี่ย เริ่มแบบไม่เป็นเลยได้ยังไง? คำตอบมีอยู่ว่า การเริ่มทำแบบว่าเริ่มใหม่หมดเลย แบบไม่เคยพัฒนาวงจรของสินค้ามาก่อน ให้เริ่มทำแบบง่ายที่สุดคือเริ่มจากปรับ Design ค่ะ Design ในที่นี้สามารถทำได้หลายทิศทางอีกคือ – ปรับเรื่องของรูปร่าง – ปรับเรื่องของขนาด – ปรับเรื่องของวัสดุ – ปรับเรื่องของตัวที่ใช้ในการตกแต่ง จริงๆเรื่องของการที่เราทำออกมาแล้วจะรู้ได้ไงว่าสินค้าตัวนี้ทำออกมาแล้วจะติดตลาดรึเปล่า คนจะชอบไหม คุ้มที่จะผลิตเยอะไหม จริงๆแล้วถ้าเก่งมากเรื่องของการตลาดอยู่แล้วจะไม่ค่อยเป็นปัญหา แต่ถ้าอยาก Make sure จริงๆก็ควรต้องหา feed back ค่ะ โดยถามจากตัวลูกค้าจริง วิธีการเทสตลาด ยกตัวอย่างง่ายๆของ Starbuck ที่เวลามีเมนูอะไรใหม่ออกมาจะมีแจกให้ชิมว่าเป็นตัวใหม่ แล้วเก็บข้อมูลจากตรงนั้นจาก feed backของลูกค้าและจากการทานเหลือหรือไม่เหลือค่ะ  หรือในอีกกรณีนึงคือคล้ายๆของกลุ่มคนที่ทำ Application ที่จะทดสอบว่า app นั้นใช้งานได้ดีรึเปล่าจะดวกพอไหม ก็จะทำออกมาให้นได้ใช้จริงๆเลย แล้วค่อยพัฒนาออกมาเป็น Version   ส่วนเรื่องที่ว่าเราควรพัฒนาตัวใหม่ออกมาเมื่อไหร่ จริงๆอันนี้ไม่มีการ fix แบบแน่นอน ขึ้นกับความสามารถในการจัดการเรื่องการบริหารและการผลิตของแต่ละแบรนด์และแต่ละประเภทสินค้าค่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นระยะเวลานานว่าในแต่ละปีจะผลิตออกมากี่ตัว และมีอะไรบ้าง เช่น ถ้าเป็นกรณีที่เป็นงานแฟชั่น โดยปกติแล้วจะมีการวางแผนก่อนหน้าการผลิตและการวางขายอยู่ที่อย่างน้อยสุดประมาณ 6 เดือน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับประเภทสินค้าด้วยค่ะ อย่างเช่นที่เราเห็น Iphone ไม่ได้มีการออกสินค้าออกมาแบบถี่ๆเหมือนกับแฟชั่นที่ออกมาเป็น Summer / Autum / Spring / Resort แต่มักจะมีช่วงระยะเวลาที่นานออกมา อันนี้ต้องดูว่าลักษณะของสินค้าของเราเหมาะกับประเภทไหนค่ะ  

        สรุปคือ จริงๆแล้ววิวัฒนาการของสินค้า ไม่มีการ Fix ว่าต้องแยกว่าต้อง Develop แบบใดแบบหนึ่ง แต่กลับกัน สามารถผสมรวมกันได้โดยไม่ได้จำกัด เพราะตัวแปรหลักจริงๆแล้วก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าของเรามากกว่าว่า เราต้องการแบบไหน และนอกจากนี้เรายังสามารถไม่เดินตามกฏเกณฑ์ต่างๆได้อีกด้วยว่าเราต้องค่อยๆพัฒนารูปแบบให้เปลี่ยนไปแบบค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ขึ้นกับวัตถุประสงค์หลักของเราและสินค้าของเราว่าเน้นจุดไหน ตลาดไหน ลูกค้าเป็นใคร สุดท้ายแล้วเป็นตัวของเราเองดีที่สุดอยู่ดี Design ในแบบที่เหมาะกับของเราเอง ดีที่สุดอยู่ดี

เพราะหลายๆครั้ง Design speaks louder than words  งาน Design บอกอะไรได้ชัดเจนกว่าการอธิบายออกมาเป็นคำพูด