อยากเป็นคนคิดนอกกรอบปะล่ะ? ลองวิธีนี้สิ

อยากเป็นคนคิดนอกกรอบปะล่ะ? ลองวิธีนี้สิ

ถ้าการคิดนอกกรอบมันทำให้เราสนุกและรู้สึกดี เป็นประโยชน์ในหลายแขนงและทำให้เกิดสิ่งดีๆได้เยอะแยะ
งั้นเรามาลองเป็นคนคิดนอกกรอบกันเถอะ

หลายๆคนคงเคยเจอคนที่มีแนวคิดแปลกและไอเดียดีๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทำงานทางด้านสายครีเอทีฟเท่านั้นแต่เรายังหาคนเหล่านี้ได้ทั่วไป เช่น คนที่แก้ปัญหาบางอย่างได้อย่างน่าทึ่ง คนที่แก้ระบบไฟฟ้าด้วยเทคนิคอื่นที่คิดพลิกแพลงเอง คนที่โยนมุขในแบบที่เราหยุดหัวเราะไม่ได้ คนที่ดูแลคนอื่นด้วยวิธีที่ใครๆคิดไม่ถึง และรวมถึงคนทำงานสายออกแบบและสร้างสรรค์ในแขนงต่างๆ

 

หลายๆคนคงรู้สึกแปลกใจ อาจรวมถึงประทับใจในสิ่งเหล่านี้จนเรารู้สึกว่า เค้ามีระบบความคิดยังไงนะ ทำไมถึงคิดอะไรได้แบบนั้น เราประทับใจและอยากทำได้แบบนั้นบ้าง อยากเป็นคนแบบนั้นบ้าง

ติวจะขออนุญาตแบ่งแนววิธีการคิดนอกกรอบออกเป็น 2 อย่างค่ะ
อย่างแรก คือ ผลงานที่เห็นเป็นชิ้นงาน หรือที่เราเห็นได้ในงานดีไซน์ต่างๆ ถ่ายทอดวิธีการคิดเป็นชิ้นงานออกมาแบบจับต้องได้ และสื่อวิธีการหรือผลงานให้เห็นแบบชัดเจน เช่น Designer ต่างๆ , นักซ่อมปีกผีเสื้อ , นักแต่งเพลง

อย่างที่สอง คือ การสร้างสรรค์ผ่านระบบความคิด ซึ่งผลงานที่ออกมา เรารับรู้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องจับต้องได้เป็นชิ้นงาน แต่เราสัมผัสได้จากความรู้สึก เช่น คนที่สร้างสรรค์ความสนุกและอารมณ์ดีให้คนอื่นแบบพี่โน้ต อุดมแต้พานิช , นักร้อง , นักดนตรีที่โซโลที่ improvise สด

 

ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่คิดในมุมมองที่แปลกไป หลายอย่าง ซึ่งฉีกแนวออกจากเรื่องเดิมๆ
ทำให้เรารู้สึกประทับใจโดยการที่เรารับรู้ได้จากการ มองเห็น ได้ยิน ได้เจอ ได้เข้าใจ และได้รู้สึก และนอกจากนี้ไอเดียใหม่ๆยังช่วยสร้างสิ่งต่างๆที่ไม่คาดคิดได้เสมอ การช่วยเหลือเยียวยาทางด้านการรักษาและระบบการแพทย์  การประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพัฒนาแบบ Elon Musk   การค้นพบทางลัดเพื่อช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตแต่ละด้าน รวมถึงการลดระยะเวลา ทรัพยากรณ์ และพลังงานต่างๆได้อีก

 

ถ้าไอเดียดีๆทำให้เกิดเรื่องดีๆได้เยอะแยะและยังทำให้เกิดสิ่งใหม่ได้อีก งั้นเรามาลองคิดนอกกรอบกันบ้างดีไหม
เราสามารถพัฒนาตัวเองให้ฝึกคิดสิ่งใหม่ได้เรื่อยๆได้อย่างง่ายๆ ด้วยวิธีที่เรียกว่า ‘The 30 circles challenge’

‘The 30 circles challenge’ ถูกยกขึ้นมาพูดโดย Tim Brown บนเวที Ted talk ปี  2008
ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้เราฝึกความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยวิธีการก็ง่ายๆคือ
1. ให้เราวาดรูปลงบนกระดาษที่มีวงกลม 30 วง โดยมีข้อแม้ว่ารูปแต่ละรูปต้องต่างกัน
( สามารถ save กระดาษสำหรับวาดได้ที่นี่ค่ะ)
2. ให้เราพยายามทำให้ได้ 30 วง ภายในเวลา 3 นาที ( ซึ่งบางที่ติวเห็นจับเวลา 1 นาที อันนี้แล้วแต่ชอบเลยค่ะ )
3. ให้เน้นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เน้นรูปแบบที่มีคุณภาพ มีความสวยมากกว่าจะเร็วแต่ว่าไม่ค่อยมีรายละเอียดและคล้ายกันไปหมด

 

                          

ตัวอย่างรูปกระดาษ30 circles challenge                                                     ตัวอย่างวิธีการวาดลงกระดาษ

 

ในการวาดรูปลงบนกระดาษนี้นอกจากจะเป็นตัวช่วยรวบรวมไอเดียของเราได้ดีแล้ว ยังเป็นการช่วยรีดศักยภาพของสมอง ที่ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์

 

ถ้าอยากรู้ว่าเราพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นรึยัง มากขึ้นขนาดไหน
ให้ลองสังเกตตัวเองง่ายๆจากการที่เราคิดรูปต่างๆเป็นยังไงบ้าง
– ความเร็วในการทำเสร็จ เร็วขึ้นหรือช้าลง
– รูปแบบ Design ที่ออกมาละเอียดขึ้นหรือว่ามีการตัดทอนมากขึ้น
( ถ้า Design ที่ออกมา % ผลงานที่เยอะสุดคือผลงานคุณ
หลากหลาย ดีเทลไม่เยอะ แต่มี gimmick อันนี้เป็นไปได้ว่าคุณเหมาะกับแนว Modern หรือ Minimal ค่ะ)
– รูปแบบ  Design  แต่ละวงมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
( ถ้างาน Design ของคุณคล้ายกันหลายอัน แสดงว่าคุณเป็น
คนที่มีจุดเด่นในการออกแบบแนว Collection ค่ะ แต่ถ้างานแต่ละชิ้นหลุดออกจากกันเกือบทั้งหมด คุณเหมาะที่จะทำงานเชิงที่เป็นงาน Niche น้อยชิ้น และงานแนว Master piece ค่ะ )
– เส้นหรือตัวสัญลักษณ์หลักที่เราใช้เยอะที่สุดคืออะไร
( ตัวนี้สามารถต่อยอดให้รู้ถึงเอกลักษณ์ส่วนตัวเชิงบุคคลที่ถ่ายทอดในงาน

แล้วคนมักจะจำได้ค่ะ ว่านี่คืองานของคุณ )
– เรามีอารมณ์ขันง่ายขึ้นไหม 
– เราคิดงานออกแบบ หาไอเดียได้เร็วขึ้นรึเปล่า
– เราแก้ปัญหาได้ไวกว่าปกติไหม
( ถ้าสังเกตแล้วคุณเป็นคนที่แก้ปัญหาได้ไวขึ้น แสดงว่าคุณเหมาะกับงานเชิงพลิกแพลง

และเป็นไปได้สูงค่ะถ้าลองต่อยอดลงมือทำงานเชิงนวัตกรรม หรือประดิษฐ์ใหม่ อาจจะไปได้ไกล)


นี่เป็นวิธีการสังเกตตัวเองแบบคร่าวๆค่ะ ถ้าคุณลองฝึกบ่อยๆ และหลายอย่างมีแนวโน้มเชิงพัฒนา

ยินดีด้วยค่ะ คุณคิดได้ไวขึ้น และมองมุมใหม่ได้มากขึ้น และเป็นคนที่คิดนอกกรอบมากกว่าเดิมแล้วค่ะ
และเจ้าวิธีการคิดนี่เองค่ะ ที่ทำให้เราต่อยอดทำอะไรหลายอย่างได้อีกมากมาย แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นคนที่คิดนอกกรอบมากขนาดไหน  อย่าลืมเอาความคิดและความรู้สึกไปไว้ในที่ๆเดียวกัน  เพราะงานที่นอกกรอบและยังทำด้วยใจรัก ใครๆก็สัมผัสได้ค่ะ ว่างานชิ้นนั้นนอกจากจะเป็นประโยชน์ในด้านต่างๆสำหรับหลายๆอย่างแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนหลายๆคนจะสัมผัสได้ก็คือ งานชิ้นนั้นส่งตรงมาจากคุณและผ่านความรู้สึกออกมาจริงๆ

 

การส่งสาส์นบางทีก็ไม่ใช่การพูดจา แต่อาจหมายถึงการสื่อออกมาทางความตั้งใจในผลงาน
เหมือนนักดนตรีที่ส่งต่อเสียงเพลง เราจับต้องไม่ได้ แต่เรารู้สึก และเราได้ยิน
เรารู้สึกว่ารู้สึกยังไงและเรารู้ ว่ามีอยู่จริง
ถ้าคนที่คิดนอกกรอบเป็น นั่นเรียกได้ว่าเป็นศิลปิน แต่ศิลปินที่ดีต้องใช้วิธีการคิดนอกกรอบในทาง
ที่อำนวยความสุขให้คนอื่นหรือช่วยให้คนอื่นดีขึ้น ดูแลและแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยความสามารถที่ตัวเองมี

 

ติวชอบที่ไอสไตน์ บอกว่า ‘Imagination is more important than knowledge’ 
“แต่สิ่งที่สำคัญกว่า Imagination คือ
การที่ Imagination อันนั้นได้ช่วยเหลือคนหรือสิ่งต่างๆไปในทางที่ดีขึ้นค่ะ”

 



Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *